ก้าวหน้าในสายอาชีพยังไงให้ปัง: แนวทางสำหรับน้องๆ เพิ่งเริ่มทำงาน

อ้างอิงจาก: คู่มือ First Jobber รู้แล้วชีวิตจะดี (มั้ง) : https://www.youtube.com/watch?v=U8ZxykM7zJA ตอนที่ 1: วางแผนความก้าวหน้าตั้งแต่วันแรก เฮ้! ยินดีด้วยนะที่เพิ่งได้งานแรก! ต้องบอกว่ามันเป็นก้าวสำคัญในชีวิตเลยล่ะ แต่พี่อยากเตือนน้องๆ ว่าอย่าตกหลุมพรางแบบที่หลายคนเป็นกัน คือพอมีงานแล้วก็แฮปปี้ ไหลไปตามน้ำ ตื่นเช้า→ไปทำงาน→กลับบ้าน→นอน→วนซ้ำ แบบนี้ไม่ไหวนะ! อย่าปล่อยให้ชีวิตการทำงานลอยไปเรื่อยๆ โดยไม่มีทิศทาง คนที่วางแผนไว้ตั้งแต่เริ่มต้นจะไปได้ไกลกว่าคนที่แค่ "รอดไปวันๆ" เยอะมาก ลองทำแบบนี้ดูนะ: ตั้งเป้าหมายให้ชัด ถามตัวเองว่า: "อีก 2-3 ปี เราอยากเป็นอะไร?" อยากเลื่อนตำแหน่งไหม? อยากเปลี่ยนสายงานไหม? เรื่องนี้สำคัญมาก บางคนทำงานไปเรื่อยๆ 5 ปีผ่านไปยังอยู่ที่เดิม ในขณะที่เพื่อนๆ ที่มีเป้าหมายชัดเจนก้าวหน้าไปไกลแล้ว คุยกับหัวหน้าเรื่องความก้าวหน้า ลองนัด one-on-one กับหัวหน้าสักครั้ง แล้วพูดตรงๆ: "พี่คะ/ครับ หนู/ผมอยากโตในสายงานนี้ ต้องทำอะไรบ้างเพื่อไปถึงตำแหน่งถัดไป? ปกติใช้เวลานานแค่ไหนครับ/คะ?" อย่ากลัวว่าจะดูทะเยอทะยาน นี่เป็นเรื่องปกติมากในการทำงาน มีหลักฐานเสมอ หลังคุยเสร็จ ส่งอีเมลสรุปบทสนทนาไปให้หัวหน้า แบบ "ตามที่เราคุยกันวันนี้ หนู/ผมจะพัฒนาสกิล X, Y, Z เพื่อเติบโตไปสู่ตำแหน่ง A ภายใน 2 ปีนะคะ/ครับ" เทคนิคนี้ช่วยได้เยอะมากถ้ามีปัญหาในอนาคต จำไว้นะ: การเติบโตในอาชีพไม่ใช่แค่หน้าที่ของเราอย่างเดียว — มันเป็นหน้าที่ของหัวหน้าด้วยที่ต้องช่วยพัฒนาลูกน้อง หัวหน้าที่ดีจะอยากเห็นเราเติบโต ถ้าเจอหัวหน้าที่ไม่สนใจเรื่องนี้ ก็อาจถึงเวลาต้องหาที่ใหม่แล้วล่ะ! ตอนที่ 2: เรียนรู้ที่จะปฏิเสธให้เป็น มีคนเคยบอกว่า "คนที่ทำทุกอย่างที่ถูกขอ จะกลายเป็นคนที่ถูกขอให้ทำทุกอย่าง" เข้าใจมั้ย? น้องๆ หลายคนมักกลัวที่จะปฏิเสธงาน กลัวหัวหน้าไม่พอใจ กลัวเพื่อนร่วมงานมองไม่ดี แต่จริงๆ แล้วการไม่กล้าปฏิเสธจะทำให้ชีวิตแย่ลงในระยะยาว ทำไมต้องกล้าปฏิเสธ: ป้องกันตัวเองจากการทำงานหนักเกินไป สร้างขอบเขตให้คนอื่นรู้ว่าเวลาและความสามารถของเรามีค่า ทำให้เราโฟกัสกับงานสำคัญได้มากขึ้น ทำให้ทุกคนเข้าใจชัดเจนว่าเราทำอะไรได้หรือไม่ได้ วิธีปฏิเสธแบบมือโปร: พูดตรงๆ แต่สุภาพ "พี่คะ/ครับ ตอนนี้หนู/ผมยังรับงานนี้ไม่ได้" ดีกว่าการอ้อมๆ หรือหาข้ออ้างไปเรื่อย บอกให้เห็นภาพว่ามีงานอะไรอยู่ในมือแล้ว "ตอนนี้หนู/ผมกำลังทำโปรเจกต์ A, B และ C ที่ต้องส่งภายในสัปดาห์นี้เลยค่ะ/ครับ" ช่วยจัดลำดับความสำคัญ "ถ้าพี่คิดว่างานนี้สำคัญมาก หนู/ผมรับได้ แต่อยากให้พี่ช่วยจัดลำดับให้หน่อยว่าอันไหนต้องทำก่อน อันไหนสามารถรอได้" เสนอทางเลือก "หนู/ผมทำให้เสร็จวันพฤหัสฯ ไม่ทันแน่ๆ เลยค่ะ/ครับ แต่ถ้าเป็นวันจันทร์หน้าได้มั้ย?" การปฏิเสธอาจรู้สึกแปลกๆ ในครั้งแรก แต่เชื่อพี่เถอะ มันจะง่ายขึ้นเรื่อยๆ และคนอื่นก็จะเริ่มเคารพเวลาและความสามารถของเรามากขึ้น อย่าลืมว่าการปฏิเสธไม่ใช่การเกี่ยงงาน แต่เป็นการจัดการทรัพยากร (ตัวเรา) ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด! ตอนที่ 3: เก็บหลักฐานให้หมด! นี่เป็นทริคมหาเทพที่อาจฟังดูขี้เกียจ แต่จริงๆ แล้วมันช่วยชีวิตได้บ่อยมาก: เก็บหลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวกับงาน การสื่อสาร และข้อตกลงต่างๆ ทำไมต้องเก็บหลักฐาน: ป้องกันคนอื่นโยนความผิดมาให้เรา ช่วยเมื่อมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้น มีข้อมูลจริงเวลาประเมินผลงาน เป็นหลักฐานยืนยันว่าเราทำอะไรไปบ้างแล้ว วิธีเก็บหลักฐานแบบมืออาชีพ: หลังประชุมหรือตกลงอะไรสำคัญ ส่งสรุปทางอีเมลเสมอ "ตามที่เราคุยกันวันนี้ หนู/ผมจะทำงาน X ให้เสร็จภายในวันศุกร์หน้านะคะ/ครับ" บันทึกการเปลี่ยนแปลงของโปรเจกต์ เมื่อมีการเลื่อนเดดไลน์หรือเพิ่มงาน จดไว้ว่าใครเป็นคนสั่ง/อนุมัติ และเมื่อไหร่ เขียนผลงานของตัวเองไว้ มีไดอารี่เล็กๆ จดโปรเจกต์ที่ทำเสร็จ ปัญหาที่แก้ได้ และความสำเร็จต่างๆ ไว้เผื่อตอนขอเลื่อนตำแหน่งหรือขึ้นเงินเดือน เวลาส่งงานต่อให้คนอื่น ต้องมีการบันทึกชัดเจน "หนู/ผมทำส่วนนี้เสร็จแล้วและส่งต่อให้ทีมมาร์เก็ตติ้งตั้งแต่วันนี้แล้วนะคะ/ครับ" การเก็บหลักฐานไม่ใช่เพราะเราไม่ไว้ใจใคร แต่เป็นการทำงานอย่างมืออาชีพ คนทำงานเก่งๆ จะมีระบบจัดการข้อมูลดีเสมอ และเมื่อมีข้อสงสัยหรือปัญหา เราก็มีข้อมูลมายืนยันได้ชัดเจน ดีกว่าต้องมานั่งถกเถียงใช้ความจำกันไปมา ตอนที่ 4: ตั้ง boundary (ขอบเขต) ให้ชัด งานกับชีวิตส่วนตัวต้องแยกออกจากกันให้ได้ ไม่งั้นเราจะเหนื่อยทั้งกายและใจ แถมยังเสียสุขภาพในระยะยาวด้วย สัญญาณที่บอกว่าเราต้องตั้ง boundary ด่วน: ต้องทำงานล่วงเวลาเป็นประจำโดยไม่ได้รับการชื่นชมหรือค่าตอบแทนพิเศษ เพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าชอบส่งงานหลังเลิกงานหรือในวันหยุด มีคนพูดจาไม่เหมาะสมหรือล้อเลียนแล้วทำให้เราอึดอัด รู้สึกว่าถูกใช้งานมากกว่าคนอื่นในทีม วิธีตั้ง boundary สุดเทพ: พูดชัดเจนเมื่อมีคนทำเกินเส้น "พี่คะ/ครับ เวลาพี่พูดแบบนี้ หนู/ผมรู้สึกไม่สบายใจ ช่วยไม่พูดแบบนี้อีกได้มั้ยคะ/ครับ?" ทำสม่ำเสมอ พอตั้งกฎแล้ว ต้องทำตามอย่างสม่ำเสมอ ถ้าบางทีทำตามกฎ บางทีไม่ทำ คนอื่นจะสับสนและไม่เคารพขอบเขตของเรา เข้าใจว่าการมีจุดยืนทำให้คนนับถือมากขึ้น คนที่รู้จักปกป้องตัวเองอย่างมืออาชีพมักจะได้รับความเคารพมากกว่าคนที่ยอมทุกอย่าง จัดการปัญหาทันที อย่าปล่อยให้เรื่องเล็กๆ สะสมจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ พูดตั้งแต่ครั้งแรกที่มีปัญหา การตั้ง boundary ไม่ได้แปลว่าเราเป็นคนเรื่องมากหรือทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ได้ แต่เป็นการกำหนดความสัมพันธ์ในที่ทำงานให้ทุกคนทำงานร่วมกันได้ดีที่สุด พี่เจอมาเยอะ คนที่ไม่กล้าตั้ง boundary มักจะเครียด หมดไฟ และอยู่ในองค์กรได้ไม่นาน ตอนที่ 5: ฝึกทักษะการสื่อสารกับคนให้ปัง บางคนคิดว่าแค่เก่งงานก็พอ โดยเฉพาะสายเทคนิคอย่างโปรแกรมเมอร์ วิศวกร หรือนักวิเคราะห์ แต่จริงๆ แล้ว การสื่อสารกับคนอื

May 2, 2025 - 14:05
 0
ก้าวหน้าในสายอาชีพยังไงให้ปัง: แนวทางสำหรับน้องๆ เพิ่งเริ่มทำงาน

อ้างอิงจาก: คู่มือ First Jobber รู้แล้วชีวิตจะดี (มั้ง) : https://www.youtube.com/watch?v=U8ZxykM7zJA

ตอนที่ 1: วางแผนความก้าวหน้าตั้งแต่วันแรก

เฮ้! ยินดีด้วยนะที่เพิ่งได้งานแรก! ต้องบอกว่ามันเป็นก้าวสำคัญในชีวิตเลยล่ะ แต่พี่อยากเตือนน้องๆ ว่าอย่าตกหลุมพรางแบบที่หลายคนเป็นกัน คือพอมีงานแล้วก็แฮปปี้ ไหลไปตามน้ำ ตื่นเช้า→ไปทำงาน→กลับบ้าน→นอน→วนซ้ำ แบบนี้ไม่ไหวนะ!

อย่าปล่อยให้ชีวิตการทำงานลอยไปเรื่อยๆ โดยไม่มีทิศทาง คนที่วางแผนไว้ตั้งแต่เริ่มต้นจะไปได้ไกลกว่าคนที่แค่ "รอดไปวันๆ" เยอะมาก

ลองทำแบบนี้ดูนะ:

  1. ตั้งเป้าหมายให้ชัด

    ถามตัวเองว่า: "อีก 2-3 ปี เราอยากเป็นอะไร?" อยากเลื่อนตำแหน่งไหม? อยากเปลี่ยนสายงานไหม? เรื่องนี้สำคัญมาก บางคนทำงานไปเรื่อยๆ 5 ปีผ่านไปยังอยู่ที่เดิม ในขณะที่เพื่อนๆ ที่มีเป้าหมายชัดเจนก้าวหน้าไปไกลแล้ว

  2. คุยกับหัวหน้าเรื่องความก้าวหน้า

    ลองนัด one-on-one กับหัวหน้าสักครั้ง แล้วพูดตรงๆ: "พี่คะ/ครับ หนู/ผมอยากโตในสายงานนี้ ต้องทำอะไรบ้างเพื่อไปถึงตำแหน่งถัดไป? ปกติใช้เวลานานแค่ไหนครับ/คะ?" อย่ากลัวว่าจะดูทะเยอทะยาน นี่เป็นเรื่องปกติมากในการทำงาน

  3. มีหลักฐานเสมอ

    หลังคุยเสร็จ ส่งอีเมลสรุปบทสนทนาไปให้หัวหน้า แบบ "ตามที่เราคุยกันวันนี้ หนู/ผมจะพัฒนาสกิล X, Y, Z เพื่อเติบโตไปสู่ตำแหน่ง A ภายใน 2 ปีนะคะ/ครับ" เทคนิคนี้ช่วยได้เยอะมากถ้ามีปัญหาในอนาคต

จำไว้นะ: การเติบโตในอาชีพไม่ใช่แค่หน้าที่ของเราอย่างเดียว — มันเป็นหน้าที่ของหัวหน้าด้วยที่ต้องช่วยพัฒนาลูกน้อง หัวหน้าที่ดีจะอยากเห็นเราเติบโต ถ้าเจอหัวหน้าที่ไม่สนใจเรื่องนี้ ก็อาจถึงเวลาต้องหาที่ใหม่แล้วล่ะ!

ตอนที่ 2: เรียนรู้ที่จะปฏิเสธให้เป็น

มีคนเคยบอกว่า "คนที่ทำทุกอย่างที่ถูกขอ จะกลายเป็นคนที่ถูกขอให้ทำทุกอย่าง" เข้าใจมั้ย? น้องๆ หลายคนมักกลัวที่จะปฏิเสธงาน กลัวหัวหน้าไม่พอใจ กลัวเพื่อนร่วมงานมองไม่ดี แต่จริงๆ แล้วการไม่กล้าปฏิเสธจะทำให้ชีวิตแย่ลงในระยะยาว

ทำไมต้องกล้าปฏิเสธ:

  • ป้องกันตัวเองจากการทำงานหนักเกินไป
  • สร้างขอบเขตให้คนอื่นรู้ว่าเวลาและความสามารถของเรามีค่า
  • ทำให้เราโฟกัสกับงานสำคัญได้มากขึ้น
  • ทำให้ทุกคนเข้าใจชัดเจนว่าเราทำอะไรได้หรือไม่ได้

วิธีปฏิเสธแบบมือโปร:

  1. พูดตรงๆ แต่สุภาพ

    "พี่คะ/ครับ ตอนนี้หนู/ผมยังรับงานนี้ไม่ได้" ดีกว่าการอ้อมๆ หรือหาข้ออ้างไปเรื่อย

  2. บอกให้เห็นภาพว่ามีงานอะไรอยู่ในมือแล้ว

    "ตอนนี้หนู/ผมกำลังทำโปรเจกต์ A, B และ C ที่ต้องส่งภายในสัปดาห์นี้เลยค่ะ/ครับ"

  3. ช่วยจัดลำดับความสำคัญ

    "ถ้าพี่คิดว่างานนี้สำคัญมาก หนู/ผมรับได้ แต่อยากให้พี่ช่วยจัดลำดับให้หน่อยว่าอันไหนต้องทำก่อน อันไหนสามารถรอได้"

  4. เสนอทางเลือก

    "หนู/ผมทำให้เสร็จวันพฤหัสฯ ไม่ทันแน่ๆ เลยค่ะ/ครับ แต่ถ้าเป็นวันจันทร์หน้าได้มั้ย?"

การปฏิเสธอาจรู้สึกแปลกๆ ในครั้งแรก แต่เชื่อพี่เถอะ มันจะง่ายขึ้นเรื่อยๆ และคนอื่นก็จะเริ่มเคารพเวลาและความสามารถของเรามากขึ้น อย่าลืมว่าการปฏิเสธไม่ใช่การเกี่ยงงาน แต่เป็นการจัดการทรัพยากร (ตัวเรา) ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด!

ตอนที่ 3: เก็บหลักฐานให้หมด!

นี่เป็นทริคมหาเทพที่อาจฟังดูขี้เกียจ แต่จริงๆ แล้วมันช่วยชีวิตได้บ่อยมาก: เก็บหลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวกับงาน การสื่อสาร และข้อตกลงต่างๆ

ทำไมต้องเก็บหลักฐาน:

  • ป้องกันคนอื่นโยนความผิดมาให้เรา
  • ช่วยเมื่อมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้น
  • มีข้อมูลจริงเวลาประเมินผลงาน
  • เป็นหลักฐานยืนยันว่าเราทำอะไรไปบ้างแล้ว

วิธีเก็บหลักฐานแบบมืออาชีพ:

  1. หลังประชุมหรือตกลงอะไรสำคัญ ส่งสรุปทางอีเมลเสมอ

    "ตามที่เราคุยกันวันนี้ หนู/ผมจะทำงาน X ให้เสร็จภายในวันศุกร์หน้านะคะ/ครับ"

  2. บันทึกการเปลี่ยนแปลงของโปรเจกต์

    เมื่อมีการเลื่อนเดดไลน์หรือเพิ่มงาน จดไว้ว่าใครเป็นคนสั่ง/อนุมัติ และเมื่อไหร่

  3. เขียนผลงานของตัวเองไว้

    มีไดอารี่เล็กๆ จดโปรเจกต์ที่ทำเสร็จ ปัญหาที่แก้ได้ และความสำเร็จต่างๆ ไว้เผื่อตอนขอเลื่อนตำแหน่งหรือขึ้นเงินเดือน

  4. เวลาส่งงานต่อให้คนอื่น ต้องมีการบันทึกชัดเจน

    "หนู/ผมทำส่วนนี้เสร็จแล้วและส่งต่อให้ทีมมาร์เก็ตติ้งตั้งแต่วันนี้แล้วนะคะ/ครับ"

การเก็บหลักฐานไม่ใช่เพราะเราไม่ไว้ใจใคร แต่เป็นการทำงานอย่างมืออาชีพ คนทำงานเก่งๆ จะมีระบบจัดการข้อมูลดีเสมอ และเมื่อมีข้อสงสัยหรือปัญหา เราก็มีข้อมูลมายืนยันได้ชัดเจน ดีกว่าต้องมานั่งถกเถียงใช้ความจำกันไปมา

ตอนที่ 4: ตั้ง boundary (ขอบเขต) ให้ชัด

งานกับชีวิตส่วนตัวต้องแยกออกจากกันให้ได้ ไม่งั้นเราจะเหนื่อยทั้งกายและใจ แถมยังเสียสุขภาพในระยะยาวด้วย

สัญญาณที่บอกว่าเราต้องตั้ง boundary ด่วน:

  • ต้องทำงานล่วงเวลาเป็นประจำโดยไม่ได้รับการชื่นชมหรือค่าตอบแทนพิเศษ
  • เพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าชอบส่งงานหลังเลิกงานหรือในวันหยุด
  • มีคนพูดจาไม่เหมาะสมหรือล้อเลียนแล้วทำให้เราอึดอัด
  • รู้สึกว่าถูกใช้งานมากกว่าคนอื่นในทีม

วิธีตั้ง boundary สุดเทพ:

  1. พูดชัดเจนเมื่อมีคนทำเกินเส้น

    "พี่คะ/ครับ เวลาพี่พูดแบบนี้ หนู/ผมรู้สึกไม่สบายใจ ช่วยไม่พูดแบบนี้อีกได้มั้ยคะ/ครับ?"

  2. ทำสม่ำเสมอ

    พอตั้งกฎแล้ว ต้องทำตามอย่างสม่ำเสมอ ถ้าบางทีทำตามกฎ บางทีไม่ทำ คนอื่นจะสับสนและไม่เคารพขอบเขตของเรา

  3. เข้าใจว่าการมีจุดยืนทำให้คนนับถือมากขึ้น

    คนที่รู้จักปกป้องตัวเองอย่างมืออาชีพมักจะได้รับความเคารพมากกว่าคนที่ยอมทุกอย่าง

  4. จัดการปัญหาทันที

    อย่าปล่อยให้เรื่องเล็กๆ สะสมจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ พูดตั้งแต่ครั้งแรกที่มีปัญหา

การตั้ง boundary ไม่ได้แปลว่าเราเป็นคนเรื่องมากหรือทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ได้ แต่เป็นการกำหนดความสัมพันธ์ในที่ทำงานให้ทุกคนทำงานร่วมกันได้ดีที่สุด พี่เจอมาเยอะ คนที่ไม่กล้าตั้ง boundary มักจะเครียด หมดไฟ และอยู่ในองค์กรได้ไม่นาน

ตอนที่ 5: ฝึกทักษะการสื่อสารกับคนให้ปัง

บางคนคิดว่าแค่เก่งงานก็พอ โดยเฉพาะสายเทคนิคอย่างโปรแกรมเมอร์ วิศวกร หรือนักวิเคราะห์ แต่จริงๆ แล้ว การสื่อสารกับคนอื่นได้ดีสำคัญพอๆ กับความเก่งในงาน

ทักษะการสื่อสารที่ควรมี:

  1. พูดให้คนฟังเข้าใจง่าย

    สามารถอธิบายเรื่องซับซ้อนให้เป็นเรื่องง่ายๆ ได้ และรู้จักฟังคนอื่นด้วยความตั้งใจ

  2. จัดการความขัดแย้งเป็น

    เวลาเกิดปัญหา รู้จักลดความตึงเครียดและหาทางออกที่ทุกฝ่ายยอมรับได้

  3. เข้าใจมุมมองของคนอื่น

    พยายามเข้าใจว่าทำไมคนอื่นถึงคิดแบบนั้น แม้เราจะไม่เห็นด้วยก็ตาม

  4. ปรับตัวเข้ากับคนหลายแบบได้

    ปรับวิธีพูดคุยให้เข้ากับบุคลิกของแต่ละคน บางคนชอบตรงๆ บางคนต้องการความละเอียดอ่อน

ไม่จำเป็นต้องกลายเป็นคนเข้าสังคมเก่งที่คุยได้กับทุกคน แต่ต้องสร้างความสัมพันธ์แบบมืออาชีพที่ตั้งอยู่บนการสื่อสารที่ชัดเจนและเคารพซึ่งกันและกัน

เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ:

  • เวลามีคนเถียงกันในที่ประชุม ลองพูดแบบ: "ดูเหมือนว่าเราทุกคนอยากให้งานออกมาดี แค่มีวิธีแตกต่างกัน ลองหาจุดร่วมกันได้มั้ย?"
  • ยืนยันในหลักการสำคัญ แต่ยืดหยุ่นในวิธีการ
  • เรียนรู้ที่จะสังเกตเมื่ออารมณ์กำลังร้อนขึ้น และรู้จักลดความร้อนลง

ปัญหาในที่ทำงานส่วนใหญ่มาจากการสื่อสารที่ไม่ชัดเจน ถ้าเราพัฒนาทักษะด้านนี้ ไม่เพียงแต่จะทำงานได้ราบรื่นขึ้น แต่ยังเพิ่มโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งด้วย เพราะตำแหน่งที่สูงขึ้นต้องการคนที่สื่อสารเก่งเสมอ!

ตอนที่ 6: ตัดสินใจเรื่องอาชีพเพื่อตัวเอง

ตลอดชีวิตการทำงาน เราจะเจอจุดที่ต้องตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนตำแหน่ง เปลี่ยนบริษัท หรือแม้แต่เปลี่ยนสายงาน การตัดสินใจเหล่านี้อาจยาก โดยเฉพาะเมื่อเรารู้สึกผูกพันกับทีมหรือหัวหน้า

หลักการตัดสินใจเรื่องอาชีพ:

  1. ให้ความสำคัญกับการเติบโตและความสุขของเราก่อนเสมอ

    ความจงรักภักดีเป็นสิ่งดี แต่อนาคตของเราสำคัญกว่า จำไว้ว่า ถ้าเราไม่ดูแลตัวเอง ไม่มีใครมาดูแลเราหรอก

  2. มองภาพรวมทั้งหมด

    อย่าดูแค่เงินเดือน แต่ให้ดูโอกาสเติบโต work-life balance วัฒนธรรมองค์กร และความสุขในชีวิตประจำวันด้วย

  3. ประเมินความเสี่ยงอย่างสมเหตุสมผล

    ถามตัวเองว่า: "ถ้าแย่สุดๆ จะเกิดอะไรขึ้น?" และ "เรามีแผนสำรองรึเปล่า?"

  4. จริงใจแต่มืออาชีพเมื่อลาออก

    เวลาจะไป ให้แสดงความขอบคุณสำหรับโอกาสที่ผ่านมา ขณะเดียวกันก็ตรงไปตรงมาเกี่ยวกับเหตุผลที่ต้องไป

หัวหน้าที่ดีจะเข้าใจและสนับสนุนการตัดสินใจของเรา แม้ว่าจะเสียเราไปจากทีม จำไว้ว่าทุกคนก็เคยย้ายงานเมื่อมันมีความหมายสำหรับพวกเขา—รวมถึงหัวหน้าของเราด้วย!

พี่เคยเจอน้องหลายคนที่กลัวจะบอกลาออก ทั้งที่ทำงานไม่มีความสุขมานาน กลัวว่าหัวหน้าจะโกรธ กลัวว่าเพื่อนจะมองไม่ดี แต่สุดท้ายถ้าที่ใหม่ดีกว่าจริงๆ ก็ควรไป เพราะใครๆ ก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองทั้งนั้น

ตอนที่ 7: รู้ค่าตัวเองและรู้จังหวะเมื่อต้องไป

บางทีวิธีเร็วที่สุดที่จะก้าวหน้าในอาชีพคือการเปลี่ยนบริษัท การรู้ว่าเมื่อไหร่ที่เราเติบโตเกินตำแหน่งปัจจุบันเป็นทักษะสำคัญ

สัญญาณว่าถึงเวลาต้องไปแล้ว:

  1. เราไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เลย

    ถ้าทำงานซ้ำๆ เดิมๆ ไม่มีความท้าทายใหม่ แสดงว่าการเติบโตหยุดชะงัก

  2. เงินเดือนไม่สมกับคุณค่าที่เราสร้าง

    ถ้าทำงานให้บริษัทมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เงินเดือนไม่ขึ้นตาม

  3. ชนเพดาน

    เมื่อไม่มีตำแหน่งที่สูงกว่านี้ให้เติบโตในองค์กรปัจจุบัน

  4. วัฒนธรรมองค์กรไม่เข้ากับเรา

    ถ้าค่านิยมของเราไม่สอดคล้องกับองค์กร จะอยู่อย่างมีความสุขในระยะยาวได้ยาก

วิธีประเมินโอกาสใหม่:

  • เปรียบเทียบแพ็คเกจทั้งหมด ไม่ใช่แค่เงินเดือน

    ดูสวัสดิการ โอกาสเรียนรู้ ความมั่นคงของบริษัท และสภาพแวดล้อมการทำงาน

  • ขอความเห็นจากคนที่ไว้ใจได้

    ถามพี่ที่ปรึกษาหรือเพื่อนร่วมงานที่สนิทว่าคิดว่าเราพร้อมสำหรับตำแหน่งที่เล็งไว้หรือยัง

  • วิจัยบริษัทใหม่ให้ละเอียด

    ดูมากกว่าแค่รายละเอียดงาน ให้เข้าใจวัฒนธรรมของบริษัทและอนาคตด้วย

การย้ายบริษัทเป็นเรื่องปกติในโลกการทำงานสมัยนี้ ไม่เหมือนสมัยก่อนที่คนจะอยู่บริษัทเดียวทั้งชีวิต ความภักดีหลักของเราควรมีต่อการพัฒนาวิชาชีพและความสุขของตัวเองมากกว่าองค์กร

เพื่อนพี่หลายคนติดกับดักอยู่ที่เดิมเพราะกลัวความไม่แน่นอน แต่หลังจากกล้าออกไปหาสิ่งใหม่ ชีวิตกลับดีขึ้นมาก ทั้งเรื่องเงิน โอกาส และความสุขในการทำงาน

ตอนที่ 8: เชื่อในการตัดสินใจของตัวเอง

ตลอดเส้นทางอาชีพ เราจะต้องตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ มากมาย: เมื่อไหร่ควรพูด เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนงาน เมื่อไหร่ควรขอเลื่อนตำแหน่ง และอื่นๆ อีกเพียบ

การขอคำแนะนำเป็นเรื่องดี แต่สุดท้ายแล้วการตัดสินใจต้องเป็นของเราเอง นี่เป็นส่วนสำคัญของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในโลกการทำงาน

วิธีเสริมความมั่นใจในการตัดสินใจ:

  1. วิเคราะห์ผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น

    คิดทั้งกรณีดีที่สุดและแย่ที่สุด เช่น "ถ้าฉันเลือกทางนี้แล้วดีสุดจะเกิดอะไรขึ้น? แล้วถ้าแย่สุดล่ะ? ฉันรับมือกับความแย่นั้นได้ไหม?"

  2. ประเมินความกล้าเสี่ยงของตัวเอง

    เข้าใจว่าเรายอมรับความไม่แน่นอนได้มากแค่ไหน คนที่กล้าเสี่ยงน้อยอาจเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยกว่า ส่วนคนที่กล้าเสี่ยงมากอาจเลือกทางที่มีโอกาสสูงแม้จะมีความเสี่ยงมากก็ตาม

  3. เรียนรู้จากทุกการตัดสินใจ

    ไม่ว่าผลจะออกมาดีหรือแย่ ให้ถอดบทเรียนสำหรับการตัดสินใจในอนาคต เช่น "ครั้งที่แล้วฉันไม่ได้ทำการบ้านพอ ครั้งนี้ฉันต้องรีเสิร์ชให้มากกว่าเดิม"

  4. เชื่อในกระบวนการ

    ยอมรับว่าไม่มีใครตัดสินใจถูกทุกครั้ง แต่แต่ละการตัดสินใจจะสอนอะไรบางอย่างที่มีค่า การฝึกตัดสินใจเองจะช่วยให้เราเก่งขึ้นเรื่อยๆ

การเป็นผู้ใหญ่ในที่ทำงานคือการรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตัวเองและผลที่ตามมา แม้ว่าเราจะควบคุมทุกอย่างในอาชีพไม่ได้ แต่เราควบคุมได้ว่าจะตอบสนองอย่างไรและจะเรียนรู้อะไรจากแต่ละประสบการณ์

ยิ่งเราตัดสินใจด้วยตัวเองบ่อยเท่าไร เราก็จะยิ่งมั่นใจในการตัดสินใจมากขึ้นเท่านั้น และจะพึ่งพาความเห็นคนอื่นน้อยลง เชื่อพี่เถอะ! เคยผ่านมาแล้ว ตอนแรกๆ ก็กลัว ไม่มั่นใจ แต่พอได้ลองตัดสินใจเองมากขึ้น ทั้งถูกทั้งผิด จนตอนนี้เริ่มเชื่อในสัญชาตญาณตัวเองมากขึ้นเยอะ

ตอนที่ 9: สร้างเครือข่ายคนที่ใช่

คำว่า "เส้นสาย" อาจฟังดูไม่ดีในวัฒนธรรมไทย แต่ความจริงแล้วการสร้างเครือข่ายมืออาชีพเป็นเรื่องสำคัญมากในโลกการทำงาน การรู้จักคนที่ใช่สามารถเปิดประตูโอกาสที่เราไม่เคยนึกถึงมาก่อน

ทำไมต้องสร้างเครือข่าย:

  • ได้รับโอกาสที่ไม่ได้ประกาศให้คนทั่วไปรู้
  • มีที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์มากกว่า
  • ได้คำแนะนำจากคนในสายงานเดียวกัน
  • สร้างชื่อเสียงในวงการที่เราทำงาน

วิธีสร้างเครือข่ายแบบธรรมชาติ:

  1. เริ่มจากคนใกล้ตัว

    เพื่อนร่วมงาน รุ่นพี่ หัวหน้า แม้แต่ลูกค้าหรือซัพพลายเออร์ที่เราติดต่อประจำ

  2. เข้าร่วมกิจกรรมในสายอาชีพ

    งานสัมมนา ประชุมวิชาการ หรืองานเนตเวิร์คกิ้งที่เกี่ยวข้องกับสายงานของเรา

  3. ใช้ LinkedIn และโซเชียลมีเดียอย่างมืออาชีพ

    สร้างโปรไฟล์ที่ดูดี โพสต์เนื้อหาที่มีคุณค่า และติดต่อกับคนในสายงานเดียวกัน

  4. กล้าที่จะติดต่อคนที่เราสนใจ

    ส่งอีเมลหรือข้อความแนะนำตัวและขอคำแนะนำสั้นๆ คนส่วนใหญ่ยินดีช่วยเหลือคนรุ่นใหม่ที่มีความตั้งใจ

เครือข่ายที่ดีไม่ได้หมายถึงจำนวนคนที่รู้จัก แต่หมายถึงความสัมพันธ์ที่เราสร้างขึ้น ให้เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ และอย่าลืมว่าเครือข่ายต้องเป็นการแลกเปลี่ยนสองทาง—เราต้องพร้อมที่จะให้ด้วย ไม่ใช่แค่รับอย่างเดียว

ตอนที่ 10: พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

โลกการทำงานเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ทักษะที่เคยมีค่าเมื่อ 5 ปีก่อนอาจล้าสมัยไปแล้ววันนี้ การเรียนรู้ตลอดชีวิตจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกสายอาชีพ

ทำไมต้องพัฒนาตัวเองตลอด:

  • รักษาความสามารถในการแข่งขัน
  • เปิดโอกาสให้ตัวเองได้ตำแหน่งที่ดีขึ้น
  • ปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีและเทรนด์ใหม่ๆ
  • หลีกเลี่ยงการตกยุค

วิธีพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง:

  1. จัดสรรเวลาเรียนรู้เป็นประจำ

    กำหนดเวลาประจำสัปดาห์เพื่อพัฒนาทักษะใหม่ๆ หรือเรียนรู้เทรนด์ในอุตสาหกรรม

  2. หาเมนเทอร์หรือโค้ช

    คนที่ประสบความสำเร็จในสายงานที่คุณทำและยินดีแบ่งปันความรู้

  3. เข้าร่วมอบรมหรือเรียนคอร์สออนไลน์

    ทุกวันนี้มีคอร์สออนไลน์มากมายที่สอนทักษะใหม่ๆ ทั้งฟรีและเสียเงิน

  4. อ่าน ฟัง ดู หาความรู้

    หนังสือ พอดแคสต์ ยูทูบ หรือบล็อกที่เกี่ยวกับสายงาน

  5. ลงมือทำโปรเจกต์ส่วนตัว

    การเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการลงมือทำจริง ทำโปรเจกต์เล็กๆ ที่ใช้ทักษะที่อยากพัฒนา

เคล็ดลับ: มองเงินที่ใช้ในการพัฒนาตัวเองเป็น "การลงทุน" ไม่ใช่ "ค่าใช้จ่าย" คอร์สเรียนดีๆ อาจมีราคาแพง แต่ถ้ามันช่วยให้เราได้งานที่ดีกว่าหรือเงินเดือนสูงขึ้น ก็คุ้มค่าอย่างมาก

น้องๆ ที่เพิ่งเริ่มทำงาน พี่หวังว่าซีรีส์บทความนี้จะช่วยให้น้องๆ เดินบนเส้นทางอาชีพที่ราบรื่นและประสบความสำเร็จมากขึ้น อย่าลืมว่าทุกคนต้องผ่านช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ ความท้าทาย และการเติบโต

เคยมีคนบอกพี่ว่า "ชีวิตการทำงานเป็นมาราธอน ไม่ใช่การวิ่ง 100 เมตร" ดังนั้นอย่ารีบร้อน ค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ พัฒนา และในที่สุดน้องๆ จะไปถึงจุดหมายที่ตั้งใจไว้อย่างแน่นอน!

"การเป็นผู้ใหญ่คือการรับผลของช้อยส์ที่ตัวเองเลือกเว้ย"

"สิ่งที่สำคัญที่สุดคือปฏิเสธคนให้เป็น มึงต้องปฏิเสธคนเป็นแล้วก็เข้าใจว่าทุกคนต้องเอาตัวเองให้รอดเสมอ"

"จำไว้นะครับว่าการที่เราจะเติบโตในหน้าที่การงานเนี่ยนะครับ มันขึ้นอยู่กับหัวหน้าเราด้วย เป็นเรื่องของหัวหน้าและเป็นหน้าที่ของหัวหน้าที่จะทำให้ลูกน้องเติบโตเสมอ"

"ทุกอย่างมีหลักฐานเสมอ พอสมมติว่าอะคนนี้มาสั่งงานปุ๊บแล้วอยู่ดีๆ ก็บอกว่าเฮ้ยทำไมงานนี้ไม่เสร็จ...นี่คือทำไมอีเมลมันสำคัญ นี่คือทำไมหลักฐานมันสำคัญ"

"ถ้าเกิดว่าเขาไม่ยินดีกับเรา แสดงว่าเราย้ายไปอ่ะ ถูกแล้ว ถูกมั้ย คือมันไม่มีเคสไหนเลยที่มึงจะเสียที่มึงจะคิดเรื่องว่าเฮ้ย กูควรจะขยับขยาย"